วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สโลปพ็อยนต์ คาบสมุทรขนาดเล็กในประเทศนิวซีแลนด์ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 58 คน



Slope Pointผาสูงชันตอนปลายสุดทางทิศใต้ของเกาะใต้ในประเทศนิวซีแลนด์ 

สโลปพ็อยนต์และผาสูงชันตอนปลายสุดทางทิศใต้ของเกาะใต้ในคาบสมุทรขนาดเล็กในประเทศนิวซีแลนด์ที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 58 คน

สโลปพ็อยนต์ (อังกฤษ: Slope Point) เป็นพื้นที่ราบโล่งขนาดเล็ก บนหน้าผาสูงชันตอนปลายสุดทางทิศใต้ของเกาะใต้ในประเทศนิวซีแลนด์ ที่ตั้งตระหง่านรับลมหนาวที่พัดรุนแรงปกคลุมจากขั้วโลกใต้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ในบริเวณสโลปพ็อยนต์อย่างถาวร ในพื้นที่ 5 ตารางไมล์โดยรอบมีชุมชนขนาดเล็กที่อยู่ห่างออกไปทางตอนเหนือของสโลปพ็อยนต์ 


ซึ่งมีคนอาศัยอยู่เพียง 58 คน (นิคมไวกาวาและนิคมแฮลเดน) และลมที่พัดแรงนี้ยังทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของรูปทรงต้นไม้ในบริเวณ ซึ่งเกิดการปรับตัวโดยบิดลำต้นและกิ่งก้านไปตามทิศทางของลม


ที่ตั้งในเกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์

สโลปพ็อยนต์เป็นที่ราบโล่งบนหน้าผาชัน และมีต้นไม้เป็นหย่อม ๆ ส่วนมากเป็นต้นสน ซึ่งมีรูปทรงแปลกตา โดยกิ่งก้านเติบโตเอียงไปตามแนวลมที่พัดแรง จนมีลักษณะเกือบเอนราบ

ซึ่งเกิดการปรับตัวโดยบิดลำต้นและกิ่งก้านไปตามทิศทางของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดรุนแรงปกคลุมจากทวีปแอนตาร์กติกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกระแสลมที่วนรอบมหาสมุทรใต้เป็นวงกว้าง

โดยไม่มีสิ่งกีดขวางเป็นระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร แล้วจึงกระแทกเข้ากับแผ่นดินบริเวณนี้ กระแสลมเหล่านี้จึงรุนแรงมาก จนต้นไม้มีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ รูปทรงของต้นไม้ที่คล้ายลักษณะเดียวกันกับเส้นผมกระเซิงจากลมแรง เรียกว่า "windswept trees" 


เทรเวอร์ ครี (Trevor Cree) นักเขียนนวนิยาย อธิบายต้นไม้ที่สโลปพ็อยนต์ว่า: "ไม่ใช่ลมแรงเพียงปัจจัยเดียวที่หักและสะบัด (ต้นไม้) ตามต้องการ แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าทำได้ แต่หากเป็นความไม่หยุดยั้งอย่างแท้จริง (ที่สร้างรูปทรงของต้นไม้) ดั่งเช่น อาการปวดฟันที่ค่อย ๆ กัดกิน และไม่หยุดจนกว่าเหยื่อจะยอมจำนนโดยดุษฏี"

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นี้คือเรื่องไม่ลับของ "หอยทาก" 🐌- ซากดึกดำบรรพ์ของหอยทากถูกค้นพบในยุคแคมเบรียน


นี้คือเรื่องไม่ลับของ "หอยทาก"
🐌- ซากดึกดำบรรพ์ของหอยทากถูกค้นพบในยุคแคมเบรียน (Cambrian Period) นั่นคือ เมื่อ 550 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ก่อนที่จะเกิดยุคไดโนเสาร์ซะอีก ​
🐌- หอยทากเป็นสัตว์ที่ไม่มีอวัยวะที่เรียกว่าหู และมีหนวด 2 คู่ หนวดคู่แรกที่ยาวกว่า จะมีตาอยู่ที่โคนหนวดคอยทำหน้าที่รับแสง (Eye spot) และอาศัยหนวดคู่ที่สั้นกว่าด้านล่างในการสัมผัสและดมกลิ่นหาทิศทาง ​


🐌- หอยทากเป็นสัตว์ที่มีทั้งสองเพศ เพราะมีอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งสองเพศในตัวเดียว เป็นวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการผสมพันธุ์ ​
🐌- หอยทากจะจำศีลในช่วงฤดูหนาว ด้วยการใช้เมือกคลุมตัว ทำให้ผิวของมันชุ่มชื้นตลอดเวลา 
🐌- หอยทากกินพืชแทบทุกชนิด และชอบกินปูนฉาบบนผนังบ้านหรือกำแพง เพราะมันมีแคลเซียมที่จะทำให้เปลือกของมันแข็งแรง ​


ปัจจุบันมีการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า หอยทากนั้นสามารถเป็นดัชนีชี้วัดสิ่งแวดล้อมได้ โดยศึกษาจากโลหะหนักในเนื้อเยื่อของหอยทาก เพื่อติดตามการสะสมของสารพิษในเนื้อเยื่อสัตว์ในสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย


 และสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็เป็นส่วนที่ช่วยในกระบวนการย่อยเศษใบไม้จนกลายเป็นปุ๋ยส่งต่อให้ต้นไม้ได้เจริญเติบโต ให้ร่มเงา และความสุขแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงพวกเราด้วย ​
เราได้รู้เรื่องหอยทากโบราณ

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

กำแพงยักษ์ในอารยธรรมเมโสอเมริกา ไม่ได้สร้างจากหินจริง



กำแพงยักษ์ในอารยธรรมเมโสอเมริกา ไม่ได้สร้างจากหินจริง! 🪨 🇵🇪 
กำแพงขนาดยักษ์ซึ่งประกอบด้วยบล็อกหินที่มีน้ำหนักหลายสิบตันซึ่งเคลื่อนย้ายขึ้นบนที่สูง 3,500 เมตร และถูกเคลื่อนย้ายโดยกลุ่มชนที่นักโบราณคดีระบุว่า ไม่น่ามีสัตว์ลากจูงเช่นวัวหรือม้าในสมัยนั้น อีกทั้งในพื้นที่มีเพียงพุ่มไม้เล็กๆเท่านั้นที่เติบโตในเทือกเขาแอนดีส ชนเหล่านี้จึงไม่มีเชือกที่เหนียวแข็งแรงพอ และอาจไม่ได้ใช้ล้อเพื่อการขนส่งด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาน่าจะยังคิดค้นรูปวงกลมไม่ได้ แล้วพวกเขาสร้างสิ่งปลูกสร้างหินได้อย่างไร?


คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ดังก้องอยู่ในใจของนักโบราณคดีที่กำลังศึกษาแหล่งโบราณคดี Sacsayhuamán ในเปรูมานานหลายทศวรรษ แต่บางทีวันนี้เราได้ค้นพบแล้วว่าพวกมันทำได้อย่างไร เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ได้รับมือกับความท้าทายนี้และวิเคราะห์ "หินยักษ์" ของ Sacsayhuamán และน่าเหลือเชื่อที่จะกล่าวว่า พวกเขาค้นพบว่าพวกมันคือหินสังเคราะห์ ! หรือ 'จีโอโพลีเมอร์' นี่หมายความว่าผู้สร้างจะไม่เคลื่อนย้ายหินใดๆ แต่พวกเขาคงจะขนส่ง 'ส่วนผสม' เป็นกระสอบๆนับพันกิโลเมตรอย่างใจเย็นเพื่อสร้างหินสังเคราะห์ที่แหล่งก่อสร้างโดยตรง จากนั้นพวกเขาก็ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน และก้อนหินก็ก่อตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาราวกับใช้เวทมนตร์ กระบวนการสร้าง 'จีโอโพลีเมอร์' นี้เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์


โดยแท้และสมบูรณ์แบบ โดยใช้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและเคมี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกบางคนได้ค้นพบว่าสสารที่ห่อหุ้มพีระมิด Rhomboid ของ Snefru ไม่ได้ทำจากหินปูน แต่เป็นหิน 'สังเคราะห์' หรือจีโอโพลีเมอร์ สิ่งเดียวกันนี้ถูกค้นพบในบางช่วงอาคารของมหาพีระมิดแห่งกิซ่า พวกมันไม่ใช่หินปูน แต่เป็น 'จีโอโพลีเมอร์' (หมายเหตุ: จีโอโพลีเมอร์แตกต่างจาก 'ซีเมนต์โรมัน' หรือปูน เนื่องจากมีความแข็งเท่ากับหินจริง)


ภาพสะท้อน เราเพิ่งสร้างจีโอโพลีเมอร์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 แต่แล้วชนโบราณในเมโสอเมริกาเหล่านั้นมีความรู้ด้านเคมีอะไรบ้าง หากพวกเขาสามารถทำได้นับพันปีก่อนหน้าเรา พวกเขาเป็นใครมาจากไหน? แล้วเหตุใดพวกเขาจึงสามารถสร้างหินสังเคราะห์ได้ ณ ทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ในเปรูและอียิปต์โบราณ ?