วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

แปลกแต่จริง เจ้าสาวสองหัว กับ การแต่งงานของฝาแฝดที่โด่งดังที่สุดในโลก


การแต่งงานของฝาแฝดที่โด่งดังที่สุดในโลก 

"แอ๊บบี้" และ "บริตตานี" ตามชื่ออดีตนักรบแห่งกองทัพ "จอช โบว์ลิ่ง" เป็นชื่อของฝาแฝดคู่นี้ 

ฝาแฝดคู่นี้มี หัว 2 หัว แขนและขาอย่างละ 2 ข้าง กระดูกสันหลัง 2 อัน ปอด 3 ข้าง หัวใจ 2 ดวง ตับ 1 อัน กระเพาะ 2 อัน ไต 3 ข้าง ส่วนระบบไหลเวียนเลือดและอวัยวะเพศใช้ร่วมกัน 

กายวิภาคของเธอนั้นช่างมีความเฉพาะตัวเสียจน แพทย์ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าร่างกายของพวกเธอทำงานได้ดีขนาดนี้ได้อย่างไร

ฝาแฝดทั้งสองทำงานเป็นครูที่โรงเรียนรัฐมินนิโซตา และการแต่งงานของทั้งคู่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้

แฝดทั้งสองมีอายุ 34 ปี เจ้าบ่าวมีอายุ 33 ปี

น้ำตกอีกวาซู เป็นระบบน้ำตกที่น่าอัศจรรย์มากที่สุดของโลก ทอดตัวคร่อมชายแดนอาร์เจนตินาและบราซิล


น้ำตกอีกวาซู เป็นระบบน้ำตกที่น่าทึ่ง ทอดตัวคร่อมชายแดนอาร์เจนตินาและบราซิล รู้จักกันในชื่อ "น้ำตกอีกวาซู" ในภาษาสเปนและ "Cataratas do Iguaçu" ในภาษาโปรตุเกส ถือเป็นระบบน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

น้ำตกทอดยาว 1.7 ไมล์ตามแนวชายแดน โดยน้ำตกประมาณ 60% - 70% อยู่ฝั่งอาร์เจนตินา

น้ำตกมีความสูงตั้งแต่ 196 ถึง 270 ฟุต ซึ่งสูงกว่าน้ำตกไนแอการา และกว้างกว่าน้ำตกวิกตอเรีย

ชื่อ "อีกวาซู" มาจากคำภาษากวารานี หรือตูปิ "y" แปลว่า "น้ำ" และ "ûasú" แปลว่า "ใหญ่" ตามตำนานท้องถิ่น เทพองค์หนึ่งสร้างน้ำตกแห่งนี้ขึ้นมาด้วยความโกรธ เมื่อหญิงสาวสวยที่แอบหลงรักชื่อ Naipi หนีล่องเรือแคนูไปกับ Taroba คนรักของเธอ จึงสาบให้คู่รักทั้งสองตกสู่น้ำตกนี้ไปชั่วนิรันดร์

น้ำตกอีกวาซู บันทึกครั้งแรกในยุโรปโดย Conquistador Álvar Núñez Cabeza de Vaca ชาวสเปนในปี 1541 ปัจจุบัน น้ำตกอีกวาซู ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยความงดงามตระการตา


ขับรถถูกกฏช่วยลดอุบัติเหตุ

ตำนานบ้านที่แคบที่สุดในอิตาลีแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นจากความเคียดแค้นชิงชัง


ตำนานบ้านที่แคบที่สุดในอิตาลีแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นจากความเคียดแค้นชิงชัง


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนเกาะซิซิลีของอิตาลี อาจไม่ใช่วิวทิวทัศน์และธรรมชาติที่สวยงามเสมอไป เพราะหนึ่งในนั้นคือบ้านรูปทรงแปลกประหลาดที่ได้รับฉายาว่า “บ้านแห่งความแค้น”


Casa du Currivu หรือที่รู้จักกันในชื่อ House of Spite คือบ้านรูปทรงแปลกประหลาดที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน เปตราเลีย ซอตตานา บนเกาะซิซิลี ถือเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีประชากรประมาณ 2,000 คน ที่อยู่ใจกลางทิวเขามาโดนี ในจังหวัดปาแลร์โม

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่ตั้งของจุดท่องเที่ยวสุดแปลกตาที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี นั่นคือบ้าน 2 ชั้นที่มีชั้นล่างดูปกติ แต่ชั้นบนกลับมีความหนาเพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น

แน่นอนว่า ความกว้างของมันแทบไม่พอให้คน 2 คนเดินสวนกันด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอยู่อาศัย ว่าแต่ชั้น 2 ของบ้านหลังนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกันแน่ ?

ซึ่งนั่นคือที่มาของบ้านหลังนี้ที่ได้ชื่อว่า House of Spite หรือบ้านแห่งความแค้น

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1950 เพื่อนบ้าน 2 คนได้เกิดการทะเลาะกันรุนแรง เจ้าของบ้านรายหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะแก้แค้นเพื่อนบ้านของเขาด้วยการสร้างบ้านชั้น 2 ขึ้น เพื่อบดบังทัศนียภาพที่งดงามจากหน้าต่างชั้น 2 ของเพื่อนบ้าน

จริง ๆ แล้ว การต่อเติมบ้านอีกชั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยนั้น แต่การจะทำเช่นนั้นได้ คุณจะต้องได้รับความยินยอมจากเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันเสียก่อน

ในกรณีนี้ เจ้าของบ้าน Casa du Currivu ไม่ได้ขออนุญาตเพื่อนบ้าน เขาตัดสินใจสร้างบ้านชั้น 2 ให้บางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่คำนึงถึงการอยู่อาศัย


ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้บ้านชั้น 2 ของเขามีระยะห่างจากบ้านข้าง ๆ มากพอจนไม่จำเป็นต้องขออนุญาตตามกฎหมาย และสามารถบดบังวิวทิวทัศน์ได้อีกด้วย

สรุปแล้ว บ้านแห่งความแค้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ของการแก้แค้นเท่านั้น ถึงแม้จะมีหน้าต่างและระเบียง แต่มันก็ไม่มีอะไรอยู่ข้างในแม้แต่น้อย


ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน Casa du Currivu จะไม่มีคนอยู่อาศัยหรือไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ใด ๆ แต่มันได้กลายเป็นอาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในซิซิลี รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่นักท่องเที่ยวอยากมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567

ตำนานวิหารกระดูก มรณะ แห่งเมือง อีโวรา ประเทศโปรตุเกส


ตำนานวิหารกระดูก มรณะ แห่งเมือง อีโวรา ประเทศโปรตุเกส

วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 

โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ 

เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! 

ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก 

แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม 

ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว

สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิครับ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อาถรรพณ์ คําสาปแผ่นตะกั่ว คาตาเรส แห่งกรีซ


อาถรรพณ์  คําสาปแผ่นตะกั่ว   
คาตาเรส  แห่งกรีซ 

ใน ค.ศ. 1979
มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ 

แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ 

ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมันครับ อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก

เรือเหาะZeppelin over Berlin และ เป็นที่มาของ สายการบินเชิงพาณิชย์แรกของโลก



Zeppelin over Berlin (1915).

   เซ็พเพอลีน  เป็นเรือเหาะมีโครงประเภทหนึ่ง ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวคิดของเซ็พเพอลีนถูกร่างไว้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1874 และสรุปรายละเอียดในปี ค.ศ. 1893 จดสิทธิบัตรในเยอรมนีในปี ค.ศ. 1895 และในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1899 

  ต่อมาภายหลังเซ็พเพอลีนได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก คำว่า "เซ็พเพอลีน" ก็ได้ถูกใช้บินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1910 โดยบริษัทเรือเดินอากาศเยอรมัน (DELAG) สายการบินเชิงพาณิชย์แรกของโลก จนถึงกลาง ค.ศ. 1914 
  
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น กองทัพเยอรมันได้ใช้เซ็พเพอลีนเพื่อการทิ้งระเบิดและการสอดแนม
  
แต่เมื่อเยอรมนีพ่ายสงครามใน ค.ศ. 1918 ธุรกิจเรือเหาะได้หยุดชะงักลงชั่วคราว เซ็พเพอลีนได้กลับมารับความนิยมอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1919 มีเที่ยวบินรายวันที่มีกำหนดการเดินทางระหว่างกรุงเบอร์ลิน มิวนิก ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 

เรือเหาะ เอ็ลเซ็ท 127 เซ็พเพอลีน และเอ็ลเซ็ท 129 ฮินเดินบวร์ค ดำเนินการเที่ยวบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากเยอรมนีสู่ทวีปอเมริกาเหนือและบราซิล ในภาพคือเซพเพอลีนหรือเรือเหาะบินเหนือน่านฟ้ากรุงเบอลิน ในปี 1915

เครื่องยิงจรวดของชาวเกาหลีโบราณ ยิง พร้อมๆกันครั้งละ 100 ถึง 200 ดอก เครื่องยิงจรวดของโชซอน ฮวาชา(Hwacha) เป็นเครื่องยิงจรวดของชาวเกาหลีโบราณเครื่องแรกของโลก


เครื่องยิงจรวดของโชซอน
ฮวาชา(Hwacha) เป็นเครื่องยิงจรวดของชาวเกาหลีโบราณ ถูกประดิษฐ์ขึ้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ซึ่งอยู่ในยุคต้นราชวงศ์โชซอน ฮวาชาสามารถยิงลูกธนูไฟพร้อมกันครั้งละ 100 ถึง 200 ดอก 

โดยใช้แรงขับจากดินปืน และในเวลาต่อมา ก็ได้พัฒนามาใช้ยิงลูกศรที่ทำจากเหล็ก โดยยิงได้ครั้งละกว่าครึ่งร้อยดอก

อาวุธนี้พัฒนามาจากอาวุธดินปืน ในสมัยราชวงศ์โครยอ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาวุธดินปืนของจีน ในยุคราชวงศ์หยวน

 ในสงครามอิมจิน ชาวเกาหลีใช้อาวุธชนิดนี้ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น โดยนอกจากจะใช้ป้องกันเมืองแล้ว ยังมีการนำฮวาชา ไปติดตั้งบนเรือพานโคซอน ซึ่งเป็นเรือรบของเกาหลีด้วย ทั้งนี้ 

นักประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกบางส่วน เชื่อว่า ฮวาชา และเรือเต่า เป็นอาวุธสำคัญที่มีส่วนช่วยให้เกาหลี ต้านทานญี่ปุ่น ในสงครามอิมจินได้

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567

สยองขวัญพบงูพิษมรณะ บิทิส(Bitis nasicornis)แสนสวยตัวนี้มีลวดลายผีตาเหลือกบนหัว


สยองขวัญพบงูพิษมรณะ บิทิส(Bitis nasicornis)แสนสวยตัวนี้มีลวดลายผีตาเหลือกบนหัว



Bitis nasicornis เป็นงูพิษชนิดหนึ่งที่อยู่ในสกุล Bitis ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ย่อยที่เรียกว่า "puff-adders" ซึ่งพบได้ในป่าทางตะวันตกและแอฟริกากลาง


 งูพิษขนาดใหญ่นี้ขึ้นชื่อเรื่องสีสันที่โดดเด่นและ "เขา" จมูกที่โดดเด่น เรียกได้หลายชื่อ อย่างงูผีเสื้อ งูแรด งูแม่น้ำ