มีบ้านนอก.com แล้วขอแวะไปที่ บ้านฝัน.com หน่อยนะจ๊ะ เห็นใครบางคนในทีมงานนี้ ชอบยิ้มแล้วพูดว่า สวัสดีค่ะ กับ นศ.พ.ที่ไหว้ หรือ โค้งให้แทนการทักทาย ทำความเคารพ.... " พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้เล่าถึงต้นเหตุเดิมไว้ว่า เจ้าหน้าที่วิทยุกระจายเสียงได้ใช้คำ "ราตรีสวัสดิ์" ลงท้ายคำพูดเมื่อจบการกระจายเสียงตอนกลางคืน โดยอนุโลมตามคำว่า "กู๊ดไนต์" (Goodnight) ของอังกฤษ แต่มีผู้ไม่เห็นด้วย ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงจึงขอให้กรรมการชำระปทานุกรมของกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น ช่วยคิดหาคำให้ ในท้ายที่สุดก็ตกลงได้คำว่า "สวัสดี" ไปใช้ พ.ศ.๒๔๗๖ ท่านพระยาอุปกิตศิลปสาร ซึ่งในขณะนั้น ท่านเป็นอาจารย์สอนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำไปเผยแพร่ให้นิสิตในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้เป็นคำทักทาย เมื่อพบกัน เป็นการทดลองก่อน คำว่า "สวัสดี" นี้ ท่านพระยาอุปกิตศิลปสาร ได้พิจารณามาจากศัพท์ "โสตถิ" ในภาษาบาลี หรือ "สวัสดิ" (สะ-หวัด-ดิ) ในภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในวรรณคดีไทย ในความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒ สวัสดิ-, สวัสดิ์ ๑, สวัสดี ๑ [สะหวัดดิ-, สะหวัด, สะหวัดดี] น. ความดี, ความงาม, ความเจริญรุ่งเรือง; ความปลอดภัย เช่น ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ขอให้มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒน มงคล ขอให้มีความสุขสวัสดี ขอให้สวัสดีมีชัย. (ส. สฺสวฺติ; ป.โสตถิ). -สวัสดิ์ ๒, สวัสดี ๒ [-สะหวัด, สะหวัดดี] คำทักทายหรือพูดขึ้นเมื่อพบหรือจากกัน เช่น อรุณสวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ สวัสดีปีใหม่ สวัสดีครับคุณครู. โสตถิ [โสดถิ] น. ความสวัสดี, ความเจริญรุ่งเรือง เช่น เป็นประโยชน์โสตถิผล. (ป.; ส.สฺวสฺติ). คำว่า "สวัสดี" จึงหมายถึง ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และเป็นการอวยชัยให้พร ครั้นต่อมาในยุคบำรุงวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชาติ รัฐบาลในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เห็นชอบกับการใช้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายในโอกาสแรกที่ได้พบกัน จึงได้มอบให้กรมโฆษณาการ
(กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) ออกข่าวประกาศเมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๖ ดังต่อไปนี้ (ตัวสะกดและการันต์ในสมัยนั้น) "ด้วยพนะท่านนายกรัถมนตรีได้พิจารนาเห็นว่าเพื่อเปนการส่งเสริมเกียรติแก่ตนและแก่ชาติ ให้สมกับที่เราได้รับความยกย่องว่าคนไทยเปนอารยะชน คำพูดจึงเปนสิ่งหนึ่งที่สแดงภูมิของจิตใจว่าสูงต่ำเพียงใด ฉะนั้นจึงมีคำสั่งให้กำชับบันดาข้าราชการทุกคน กล่าวคำ "สวัสดี" ต่อกันไนโอกาสที่พบกันครั้งแรกของวัน เพื่อเป็นการผูกไมตรีต่อกัน และฝึกนิสัยไห้กล่าวแต่คำที่เปน มงคล ว่าอะไรว่าตามกัน กับขอไห้ข้าราชการช่วยแนะนำแก่ผู้ที่อยู่ไนครอบครัวของตนไห้รู้จักกล่าวคำ "สวัสดี" เช่นเดียวกันด้วย "
นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ทางราชการในสมัยนั้นได้กำหนดให้ใช้คำว่าสวัสดี ไว้แล้วตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๖ คำทักทายที่คนไทยสมัยนี้นิยมใช้กัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นสากล (Inter) เช่น คำว่า "ฮัลโหล" ในภาษาอังกฤษ มีความหมาย เป็นเพียงแค่ทักทายกันเมื่อพบกัน คำว่า "หนีฮ่าว" ในภาษาจีน มีความหมายว่า คุณสบายดีไหม จะเห็นว่ามีความแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน คำว่า "สวัสดี" ของไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่คำทักทายเท่านั้น ความหมายของคำ "สวัสดี" ได้สะท้อนไปถึงความปรารถนาดี เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต เป็นการอวยพรให้กับผู้ที่เราสนทนา ให้ประสบพบแต่สิ่งที่ดี ซึ่งเหล่านี้เป็นลักษณะพิเศษในคำทักทายของคนไทย และ เมื่อเรากล่าวคำสวัสดี คนไทยเรายังยกมือขึ้นประนมไหว้ตรงระหว่างอก มือทั้งสองจะประสานกันเป็นรูปดอกบัวตูม เหมือนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมาย ถึงสิ่งสูงค่าที่เป็นมงคล เพราะชาวไทยใช้ดอกบัวในการสักการะผู้ใหญ่ บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนการวางมือไว้ตรงระดับหัวใจนั้น เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกให้เห็นว่า การทักทายนั้น มาจากใจของผู้ไหว้ ดังนั้น เมื่อกล่าวคำว่า สวัสดี พร้อมกับการยกมือขึ้นประนม จึงแฝงให้เห็นถึงความมีจิตใจที่งดงามของคนไทย ที่หวังให้ผู้อื่นพบเจอแต่ในสิ่งที่ดี ซึ่งการกระทำที่งดงามดังกล่าวนี้ ถือเป็นมงคลทั้งต่อตัวผู้พูด และผู้ฟัง เป็นความเจริญทางวัฒนธรรมด้านภาษาและจิตใจอย่างที่สุด ในปัจจุบันนี้มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนมาก ได้พยายามยกมือไหว้และกล่าวคำว่า "สวัสดี-Sawasdee " เพราะเข้าใจวัฒนธรรมของไทยดีขึ้น นับเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยได้ประการหนึ่ง คำว่า "สวัสดี" ได้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นคำของ "ชาตินิยม" เป็นวัฒนธรรมอันหยั่งรากฝังลึกลงในจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ อากัปกิริยาของการ "สวัสดี" ผนวกกับ ความมีน้ำใจไมตรีของคนไทย และรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ ทำให้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำที่มีความหมายมากมายนัก คนไทยควรจะมาร่วมกันดำรง สำนึกความเป็น"ไทย" ด้วยคำทักทายอันเป็นมงคลและรอยยิ้มที่แจ่มใส .. .. อย่าให้สิ่งดีๆ เลือนหายไปจากสามัญสำนึก "สวัสดีค่ะ" "สวัสดีครับ"
***********************************************************************************
คนไทยมีดีอยู่ที่เรามักจะปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ......... จึงไม่สงสัยว่า แม้คำทักทายว่า สวัสดี ก็ยังเป็นคำอำนวยพรเมื่อพบกันเป็นครั้งแรกในแต่ละวัน รอยยิ้มที่จริงใจ ก็เป็นสเน่ห์อีกอย่างที่ชาวต่างประเทศประทับใจพวกเรา แต่มาในระยะนี้ วัฒนธรรมดีๆ เหล่านี้กำลังเลือนหายไปจากสังคมไทยที่มีแต่ความรีบเร่ง แข่งขันกัน ทั้งทางด้านธุรกิจ ผลงาน และการทำมาหากิน ท่ามกลางความแตกต่างอย่างมากในฐานะเศรษกิจของคนในชาติ พระจริยาวัตรขององค์รัชทายาทแห่งประเทศภูฏาน ที่เสด็จมาร่วมในงานพิธีฉลองการครองสิราชสมบัติครบ 60 ปีของในหลวงเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นคล้ายภาพสะท้อนความน่ารักของคนไทยที่เคยมีมานานแล้วในสายตาผู้คนจำนวนมากมายในหลายๆ ประเทส ที่ได้มีโอกาสรู้จักและใกล้ชิดกับคนไทย อย่าให้ของดีๆ ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเรา ต้องหมดไปเพราะคนไทยในยุค IT ที่ห่วงแต่ตัวเอง จนลืมที่จะมีความจริงใจ มิตรไมตรี ให้กับคนรอบข้าง เหมือนอย่างที่พวกเราเคยมีอย่างเหลือเฟอในอดีต..... มาช่วยกันอนุรักษ์ต้นตอของการกล่าวสวัสดีตามข้อความในกระทู้ด้านบนกันเถิด คำว่า "สวัสดี" ของไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่คำทักทายเท่านั้น ความหมายของคำ "สวัสดี" ได้สะท้อนไปถึงความปรารถนาดี เปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต เป็นการอวยพรให้กับผู้ที่เราสนทนา ให้ประสบพบแต่สิ่งที่ดี ซึ่งเหล่านี้เป็นลักษณะพิเศษในคำทักทายของคนไทย
โดยคุณ ไทยนิยมไทย (172.17.8.*) [ วันพฤหัสบดี ที่ 10 สิงหาคม 2549 เวลา 19:32 น. ]
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
ปรัชญาน่ารัก19ข้อที่ควรอ่าน
1. อย่าขับรถเร็วเกินที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด
2. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
3. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
4. "อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด"
5. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยน ๆ ลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหละ
6. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
7. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
8. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
9. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
10. คนๆหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
11. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
12. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
13. คุณค่าของคน ๆ หนี่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
14. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด
15. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้ เข้มแข็ง
16. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
17. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น
18. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก
19. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
2. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
3. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
4. "อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด"
5. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยน ๆ ลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหละ
6. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
7. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
8. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
9. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
10. คนๆหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่าง แต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
11. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
12. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
13. คุณค่าของคน ๆ หนี่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
14. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด
15. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้ เข้มแข็ง
16. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
17. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น
18. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก
19. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
ครอบครัว: หน่วยพื้นฐานสังคม
ครอบครัว: หน่วยพื้นฐานสังคม
เมื่อมนุษย์อยู่กันเป็นสัตว์สังคมซึ่งเป็นการตอบสนองต่อธรรมชาติของมนุษย์และความจำเป็นในการอยู่รอดและความร่วมมือนั้น มนุษย์แต่ละคนเป็นความสมบูรณ์ในตัวเองในแง่ชีวภาพ แต่เมื่ออยู่กันเป็นสังคมมนุษย์จะพัฒนาบุคลิกภาพขึ้นมา จะมีความคิด ค่านิยม และปทัสถาน ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวไม่สามารถจะเกิดขึ้นจากช่องว่างของอากาศ หากแต่เกิดจากระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้หรือสั่งสอนอบรม ซึ่งเกิดขึ้นในหน่วยที่สำคัญที่สุดของสังคม นั่นคือ ครอบครัว อันได้แก่ มนุษย์ที่มีเพศต่างกันอยู่ร่วมกันและตอบสนองต่อความต้องการที่จะสืบเผ่าพันธุ์จนมีลูกมีหลานออกมา อยู่ร่วมกันหลายชั่วคน ตั้งแต่ทวด ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูก หลาน เหลน โหลน ลื้อ แต่เนื่องจากอายุขัยที่จำกัด ครอบครัวที่มีสมาชิกครบทุกรุ่นดังกล่าวนี้คงหาได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นเพียง 3 รุ่นคือ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน อาจจะมีถึง 4 รุ่นคือเหลน ซึ่งต้องถือเป็นข้อยกเว้น
ครอบครัวเป็นหน่วยที่สำคัญของมนุษย์ เพราะเป็นหน่วยที่ไม่ใหญ่เกินและก็ไม่เล็กเกินไป เป็นหน่วยที่สามารถอยู่รวมกันเป็นหน่วยเล็กๆ ได้ พึ่งพากัน และเมื่อประกอบรวมหลายครอบครัวผสมผสานกันก็จะกลายเป็นหลายสังคม สังคมจึงประกอบด้วยครอบครัวมนุษย์จำนวนหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในครอบครัวนอกเหนือจากการตอบสนองทางจิตใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจ ยังมีกระบวนการที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ กระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ทำการอบรมสั่งสอนจากรุ่นที่มีอาวุโสมากกว่าคือ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ถ่ายทอดไปยังลูกเพื่อให้มีความรู้และทักษะในการทำมาหากินเลี้ยงชีพ เพื่อให้สืบทอดค่านิยม ปทัสถานที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เพื่อที่จะถ่ายทอดศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม และที่สำคัญที่สุดเพื่อถ่ายทอดทักษะในการสื่อสารทางภาษา ดังนั้น การกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัวในยาวเยาว์วัยจะมีการสอนพูด สอนกิริยามารยาท สอนการปฏิบัติตัว สอนความสัมพันธ์ที่มีต่อสมาชิกอื่นในครอบครัว และเมื่อออกไปนอกครอบครัวจะเป็นฐานในการสร้างความสัมพันธ์กับคนในสังคม กระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ของครอบครัวอันเกิดจากปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ไปสู่ลูกและหลานนั้นจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของแต่ละคนในแต่ละครอบครัวนั้น ที่เรียกว่า บุคลิกภาพ โดยจะได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นบุคคลที่มีค่านิยม ปทัสถาน โลกทัศน์ วิธีคิด วิธีพูดจา วิธีปฏิบัติตน ครอบครัวมนุษย์จึงเป็นหน่วยสังคมหน่วยแรกที่สร้างสมาชิกให้กับสังคม ครอบครัวนอกจากจะสร้างมนุษย์ที่เป็นชีวภาพ ยังสร้างมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมที่สามารถอยู่ร่วมกับสมาชิกอื่นในสังคมได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ขงจื้อจึงเน้นความสัมพันธ์ของครอบครัว โดยให้ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานในการสร้างมนุษย์ที่สามารถจะอยู่ร่วมกันในครอบครัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม และเพื่อให้น้ำหนักของครอบครัวมีมากขึ้น สังคมจีนโบราณยังมีเอกลักษณ์ของแต่ละครอบครัว นั่นคือ การมีแซ่หรือชื่อตระกูลซึ่งมีจำเป็นจำนวนมาก โดยแซ่แต่ละแซ่นั้นถือว่าสืบเชื้อสายติดต่อกันมา และแต่ละแซ่ก็จะมีประวัติบรรพบุรุษที่น่าภูมิใจ
เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งระบบครอบครัวและประวัติความเป็นมา สังคมจีนโบราณจึงเน้นเรื่องงานศพ มีการทำสุสานฝังศพสมาชิกของครอบครัวไว้ที่เดียวกัน มีแผ่นศิลาสลักชื่อบรรพบุรุษและผู้ตาย รวมทั้งลูกหลานผู้ตาย เป็นการบักทึกของครอบครัว และเมื่อรวมหลายๆ ครอบครัวที่เป็นแซ่เดียวกันก็จะกลายเป็นแซ่ที่ยิ่งใหญ่ โดยบางแซ่มีจำนวนหลายร้อยล้านคน เนื่องจากมีวิวัฒนาการมา 4-5 พันปี ระบบครอบครัวของจีนจึงเป็นระบบที่แข็งแกร่งที่สุด และที่สำคัญยังมีการอบรมสั่งสอนในเรื่องหน้าที่ของกุลบุตรกุลธิดา ความรับผิดชอบ ความกตัญญูรู้คุณ การประกอบพิธีกรรม การบูชาบรรพบุรุษ การระลึกถึงคำสั่งสอน การสืบต่อกิจการของครอบครัว ตระกูลแซ่ที่เป็นนักรบก็จะสืบเชื้อสายเป็นนักรบเป็นเวลานาน บางตระกูลจะรับใช้องค์จักรพรรดิหลายองค์เช่นตระกูลหยางในประวัติศาสตร์จีน เป็นต้น แซ่ยังเป็นหนึ่งในสามของสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญของจีน มีการกล่าวว่า สิ่งอัศจรรย์ของจีนมี 3 อย่าง (1) คือ ตระกูลแซ่ คนซึ่งไม่รู้จักกันพบกันที่นิวยอร์กแต่พอรู้ว่าเป็นแซ่เดียวกันก็จะเริ่มนับญาติ (2) คือกำแพงเมืองจีนซึ่งยาวถึง 5 พันกิโลเมตร (3) ตะเกียบที่ใช้รับประทานอาหาร โดยวัฒนธรรมใช้ตะเกียบขยายไปถึงญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และที่อื่นๆ ทั่วโลก ตะเกียบถือเป็นเครื่องมือรับประทานอาหารที่อัศจรรย์
ครอบครัวจึงเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม ครอบครัวใดมีความสุขอยู่กันโดยสมานฉันท์ มีการสืบทอดค่านิยมที่ถูกต้อง มีการศึกษาอบรมทั้งในครอบครัวและสนับสนุนให้ศึกษาเล่าเรียนสูงขึ้นในสถาบันการศึกษา ครอบครัวนี้ก็จะมีสมาชิกที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์สังคม ครอบครัวใดที่มีความแตกแยก บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกหลานขาดความสุข มีค่านิยมที่ผิด ไร้จริยธรรม ก็เท่ากับเป็นการผลิตสมาชิกครอบครัวที่จะอออกไปเป็นสมาชิกที่เป็นอันตรายต่อสังคม โกงกิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงประเทศชาติและส่วนรวม
ความล้มเหลวของการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัวซึ่งมาจากครอบครัวที่ไม่มีความสุข พ่อแม่ที่หลงผิด จึงไม่เพียงแต่ส่งผลถึงสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ยังส่งผลถึงสังคมและประเทศชาติโดยรวมอีกด้วย คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรจึงจะมีระบบครอบครัวที่สามารถผลิตสมาชิกให้กับสังคมตามที่พึงปรารถนา คำถามนี้เป็นคำถามใหญ่ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำเป็นจะต้องร่วมมือกันหาทางออกและวางนโยบายที่เหมาะสม แต่ที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ซึ่งเป็นฐานหลักของครอบครัวจะต้องเข้าใจถึงความสำคัญของหน่วยหลักของสังคมนี้ ซึ่งขงจื้อได้ให้ความสำคัญเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว และยังถือว่าไม่ใช่เรื่องล้าสมัย เพราะจริงๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัวที่ดีมีความสุขก็คือฐานรากของสังคมที่มีการพัฒนา
ครอบครัว: หน่วยพื้นฐานสังคม / ความคิดอิสระ
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน28/1/2552
เมื่อมนุษย์อยู่กันเป็นสัตว์สังคมซึ่งเป็นการตอบสนองต่อธรรมชาติของมนุษย์และความจำเป็นในการอยู่รอดและความร่วมมือนั้น มนุษย์แต่ละคนเป็นความสมบูรณ์ในตัวเองในแง่ชีวภาพ แต่เมื่ออยู่กันเป็นสังคมมนุษย์จะพัฒนาบุคลิกภาพขึ้นมา จะมีความคิด ค่านิยม และปทัสถาน ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวไม่สามารถจะเกิดขึ้นจากช่องว่างของอากาศ หากแต่เกิดจากระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้หรือสั่งสอนอบรม ซึ่งเกิดขึ้นในหน่วยที่สำคัญที่สุดของสังคม นั่นคือ ครอบครัว อันได้แก่ มนุษย์ที่มีเพศต่างกันอยู่ร่วมกันและตอบสนองต่อความต้องการที่จะสืบเผ่าพันธุ์จนมีลูกมีหลานออกมา อยู่ร่วมกันหลายชั่วคน ตั้งแต่ทวด ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูก หลาน เหลน โหลน ลื้อ แต่เนื่องจากอายุขัยที่จำกัด ครอบครัวที่มีสมาชิกครบทุกรุ่นดังกล่าวนี้คงหาได้ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นเพียง 3 รุ่นคือ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน อาจจะมีถึง 4 รุ่นคือเหลน ซึ่งต้องถือเป็นข้อยกเว้น
ครอบครัวเป็นหน่วยที่สำคัญของมนุษย์ เพราะเป็นหน่วยที่ไม่ใหญ่เกินและก็ไม่เล็กเกินไป เป็นหน่วยที่สามารถอยู่รวมกันเป็นหน่วยเล็กๆ ได้ พึ่งพากัน และเมื่อประกอบรวมหลายครอบครัวผสมผสานกันก็จะกลายเป็นหลายสังคม สังคมจึงประกอบด้วยครอบครัวมนุษย์จำนวนหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในครอบครัวนอกเหนือจากการตอบสนองทางจิตใจ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การพึ่งพากันในทางเศรษฐกิจ ยังมีกระบวนการที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ กระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ทำการอบรมสั่งสอนจากรุ่นที่มีอาวุโสมากกว่าคือ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ถ่ายทอดไปยังลูกเพื่อให้มีความรู้และทักษะในการทำมาหากินเลี้ยงชีพ เพื่อให้สืบทอดค่านิยม ปทัสถานที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เพื่อที่จะถ่ายทอดศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม และที่สำคัญที่สุดเพื่อถ่ายทอดทักษะในการสื่อสารทางภาษา ดังนั้น การกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัวในยาวเยาว์วัยจะมีการสอนพูด สอนกิริยามารยาท สอนการปฏิบัติตัว สอนความสัมพันธ์ที่มีต่อสมาชิกอื่นในครอบครัว และเมื่อออกไปนอกครอบครัวจะเป็นฐานในการสร้างความสัมพันธ์กับคนในสังคม กระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ของครอบครัวอันเกิดจากปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ไปสู่ลูกและหลานนั้นจึงเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของแต่ละคนในแต่ละครอบครัวนั้น ที่เรียกว่า บุคลิกภาพ โดยจะได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นบุคคลที่มีค่านิยม ปทัสถาน โลกทัศน์ วิธีคิด วิธีพูดจา วิธีปฏิบัติตน ครอบครัวมนุษย์จึงเป็นหน่วยสังคมหน่วยแรกที่สร้างสมาชิกให้กับสังคม ครอบครัวนอกจากจะสร้างมนุษย์ที่เป็นชีวภาพ ยังสร้างมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมที่สามารถอยู่ร่วมกับสมาชิกอื่นในสังคมได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ขงจื้อจึงเน้นความสัมพันธ์ของครอบครัว โดยให้ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานในการสร้างมนุษย์ที่สามารถจะอยู่ร่วมกันในครอบครัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม และเพื่อให้น้ำหนักของครอบครัวมีมากขึ้น สังคมจีนโบราณยังมีเอกลักษณ์ของแต่ละครอบครัว นั่นคือ การมีแซ่หรือชื่อตระกูลซึ่งมีจำเป็นจำนวนมาก โดยแซ่แต่ละแซ่นั้นถือว่าสืบเชื้อสายติดต่อกันมา และแต่ละแซ่ก็จะมีประวัติบรรพบุรุษที่น่าภูมิใจ
เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งระบบครอบครัวและประวัติความเป็นมา สังคมจีนโบราณจึงเน้นเรื่องงานศพ มีการทำสุสานฝังศพสมาชิกของครอบครัวไว้ที่เดียวกัน มีแผ่นศิลาสลักชื่อบรรพบุรุษและผู้ตาย รวมทั้งลูกหลานผู้ตาย เป็นการบักทึกของครอบครัว และเมื่อรวมหลายๆ ครอบครัวที่เป็นแซ่เดียวกันก็จะกลายเป็นแซ่ที่ยิ่งใหญ่ โดยบางแซ่มีจำนวนหลายร้อยล้านคน เนื่องจากมีวิวัฒนาการมา 4-5 พันปี ระบบครอบครัวของจีนจึงเป็นระบบที่แข็งแกร่งที่สุด และที่สำคัญยังมีการอบรมสั่งสอนในเรื่องหน้าที่ของกุลบุตรกุลธิดา ความรับผิดชอบ ความกตัญญูรู้คุณ การประกอบพิธีกรรม การบูชาบรรพบุรุษ การระลึกถึงคำสั่งสอน การสืบต่อกิจการของครอบครัว ตระกูลแซ่ที่เป็นนักรบก็จะสืบเชื้อสายเป็นนักรบเป็นเวลานาน บางตระกูลจะรับใช้องค์จักรพรรดิหลายองค์เช่นตระกูลหยางในประวัติศาสตร์จีน เป็นต้น แซ่ยังเป็นหนึ่งในสามของสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญของจีน มีการกล่าวว่า สิ่งอัศจรรย์ของจีนมี 3 อย่าง (1) คือ ตระกูลแซ่ คนซึ่งไม่รู้จักกันพบกันที่นิวยอร์กแต่พอรู้ว่าเป็นแซ่เดียวกันก็จะเริ่มนับญาติ (2) คือกำแพงเมืองจีนซึ่งยาวถึง 5 พันกิโลเมตร (3) ตะเกียบที่ใช้รับประทานอาหาร โดยวัฒนธรรมใช้ตะเกียบขยายไปถึงญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และที่อื่นๆ ทั่วโลก ตะเกียบถือเป็นเครื่องมือรับประทานอาหารที่อัศจรรย์
ครอบครัวจึงเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม ครอบครัวใดมีความสุขอยู่กันโดยสมานฉันท์ มีการสืบทอดค่านิยมที่ถูกต้อง มีการศึกษาอบรมทั้งในครอบครัวและสนับสนุนให้ศึกษาเล่าเรียนสูงขึ้นในสถาบันการศึกษา ครอบครัวนี้ก็จะมีสมาชิกที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์สังคม ครอบครัวใดที่มีความแตกแยก บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกหลานขาดความสุข มีค่านิยมที่ผิด ไร้จริยธรรม ก็เท่ากับเป็นการผลิตสมาชิกครอบครัวที่จะอออกไปเป็นสมาชิกที่เป็นอันตรายต่อสังคม โกงกิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงประเทศชาติและส่วนรวม
ความล้มเหลวของการกล่อมเกลาเรียนรู้ในครอบครัวซึ่งมาจากครอบครัวที่ไม่มีความสุข พ่อแม่ที่หลงผิด จึงไม่เพียงแต่ส่งผลถึงสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ยังส่งผลถึงสังคมและประเทศชาติโดยรวมอีกด้วย คำถามที่สำคัญที่สุดคือ ทำอย่างไรจึงจะมีระบบครอบครัวที่สามารถผลิตสมาชิกให้กับสังคมตามที่พึงปรารถนา คำถามนี้เป็นคำถามใหญ่ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำเป็นจะต้องร่วมมือกันหาทางออกและวางนโยบายที่เหมาะสม แต่ที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ซึ่งเป็นฐานหลักของครอบครัวจะต้องเข้าใจถึงความสำคัญของหน่วยหลักของสังคมนี้ ซึ่งขงจื้อได้ให้ความสำคัญเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว และยังถือว่าไม่ใช่เรื่องล้าสมัย เพราะจริงๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัวที่ดีมีความสุขก็คือฐานรากของสังคมที่มีการพัฒนา
ครอบครัว: หน่วยพื้นฐานสังคม / ความคิดอิสระ
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน28/1/2552
ความรัก - จากปรัชญาชีวิต คาลิล ยิบราล
เมื่อความรักเรียกร้องเธอ จงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบกอดกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
* * *
เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะลิดรอนเธอด้วย
แม้ขณะมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย
* * *
ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะล่อนให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าไปสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อเธอจะได้เป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
* * *
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้น เธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
* * *
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่า ที่เธอควรจะปกคลุมความเปล่าเปลือยเปล่าของตนและหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
* * *
ความรักไม่เรียกร้องสิ่งใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบรัก
* * *
เมื่อเธอรัก
อย่าได้กล่าวว่า " พระเป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา "
แต่ควรพุดว่า " เราอยู่ในดวงใจของพระผู้เป็นเจ้า "
และอย่าได้คิดว่าเธอสามารถนำทางแห่งความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำทางแก่เธอเอง
ความรักไม่มีความปรารถนาสิ่งใด นอกจากจะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำเป็นต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้
เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงดังเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณ ด้วยดวงใจอันปีติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ.
จาก THE PROPHET by KAHLIL GIBRAN ระวีภาวิไล ถอดความออกมาเป็นภาษาไทยให้ชื่อรวมเล่มว่า ปรัชญาชีวิต บทนี้คัดมาจากฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 13 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542 สำนักพิมพ์ผีเสื้อ อาคารหมายเลขห้า 5 / 4 ถนนสุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 02 261 - 5586 และ 02 663 - 4660 โทรสาร 02 261 - 3863 ผกาวดี อุตตโมทย์ บรรณาธิการ.
แม้ว่าทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบกอดกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
* * *
เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะลิดรอนเธอด้วย
แม้ขณะมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย
* * *
ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะล่อนให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว
แล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าไปสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อเธอจะได้เป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า
* * *
ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้น เธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ
* * *
แต่ถ้าหากด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุข
และความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่า ที่เธอควรจะปกคลุมความเปล่าเปลือยเปล่าของตนและหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด
ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่
* * *
ความรักไม่เรียกร้องสิ่งใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบรัก
* * *
เมื่อเธอรัก
อย่าได้กล่าวว่า " พระเป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา "
แต่ควรพุดว่า " เราอยู่ในดวงใจของพระผู้เป็นเจ้า "
และอย่าได้คิดว่าเธอสามารถนำทางแห่งความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำทางแก่เธอเอง
ความรักไม่มีความปรารถนาสิ่งใด นอกจากจะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำเป็นต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้
เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงดังเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณ ด้วยดวงใจอันปีติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ.
จาก THE PROPHET by KAHLIL GIBRAN ระวีภาวิไล ถอดความออกมาเป็นภาษาไทยให้ชื่อรวมเล่มว่า ปรัชญาชีวิต บทนี้คัดมาจากฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 13 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2542 สำนักพิมพ์ผีเสื้อ อาคารหมายเลขห้า 5 / 4 ถนนสุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 02 261 - 5586 และ 02 663 - 4660 โทรสาร 02 261 - 3863 ผกาวดี อุตตโมทย์ บรรณาธิการ.
บทความ***ของคาลิลยิบราล
บทความ....คาลิล ยิบราน
ขอให้มีที่ว่างในการมาอยู่ร่วมกันของเธอและขอให้ลมแห่งสวรรค์เต้นรำอยู่ระหว่างเธอทั้งสองรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธนาการแห่งรักขอให้มันเป็นทะเลที่เคลื่อนไหวได้ระหว่างฝั่งของจิตใจของเธอทั้งสองเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกันร้องเพลงและเต้นรำด้วยกัน และมีความสุขแต่ขอให้เธอแต่ละคนได้มีโอกาสอยู่ตามลำพัง
แม้สายของพิณก็ต่างคนต่างอยู่แต่พวกเขาจะสั่นพริ้วเป็นทำนองเดียวกันให้หัวใจของเธอแต่ไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เก็บไว้เพราะมีแต่มือของชีวิตเท่านั้น ที่จะเก็บดวงใจของเธอไว้ได้จงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากเกินไปเหมือนเสาของวิหารที่ต่างยืนห่างกันและต้นโอ๊ก ต้นไซเปรสนั้น ต่างคนต่างโตด้วยตนเองไม่ได้เติบโตในร่มเงาของกันและกัน
...................
ความรักมากไปก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์ความรักจึงควรอยู่บนความพอดีใกล้ชิดและผูกพันกัน และมีระยะห่างพอเหมาะเวลาเขียนหนังสือเราต้องเว้นช่องไฟตัวอักษรความรักก็ควรเป็นเช่นนั้นอบอุ่น แต่มีอิสระเราต่างมีความคิดของตนเองต่างทำงาน ต่างใช้เงินกันคนละกระเป๋าหากพร้อมแบ่งปันกันทุกด้านเมื่อคนใดคนหนึ่งขาดแคลนสิ่งใดปล. คัดบางส่วนมาจากหนังสือของท่านคาลิล ยิบรานอ่านแล้ว....ทำให้เราเอง ฉลาดทางอารมณ์และความคิดมากขึ้น
ขอให้มีที่ว่างในการมาอยู่ร่วมกันของเธอและขอให้ลมแห่งสวรรค์เต้นรำอยู่ระหว่างเธอทั้งสองรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธนาการแห่งรักขอให้มันเป็นทะเลที่เคลื่อนไหวได้ระหว่างฝั่งของจิตใจของเธอทั้งสองเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกันร้องเพลงและเต้นรำด้วยกัน และมีความสุขแต่ขอให้เธอแต่ละคนได้มีโอกาสอยู่ตามลำพัง
แม้สายของพิณก็ต่างคนต่างอยู่แต่พวกเขาจะสั่นพริ้วเป็นทำนองเดียวกันให้หัวใจของเธอแต่ไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เก็บไว้เพราะมีแต่มือของชีวิตเท่านั้น ที่จะเก็บดวงใจของเธอไว้ได้จงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากเกินไปเหมือนเสาของวิหารที่ต่างยืนห่างกันและต้นโอ๊ก ต้นไซเปรสนั้น ต่างคนต่างโตด้วยตนเองไม่ได้เติบโตในร่มเงาของกันและกัน
...................
ความรักมากไปก็เป็นทุกข์ น้อยไปก็เป็นทุกข์ความรักจึงควรอยู่บนความพอดีใกล้ชิดและผูกพันกัน และมีระยะห่างพอเหมาะเวลาเขียนหนังสือเราต้องเว้นช่องไฟตัวอักษรความรักก็ควรเป็นเช่นนั้นอบอุ่น แต่มีอิสระเราต่างมีความคิดของตนเองต่างทำงาน ต่างใช้เงินกันคนละกระเป๋าหากพร้อมแบ่งปันกันทุกด้านเมื่อคนใดคนหนึ่งขาดแคลนสิ่งใดปล. คัดบางส่วนมาจากหนังสือของท่านคาลิล ยิบรานอ่านแล้ว....ทำให้เราเอง ฉลาดทางอารมณ์และความคิดมากขึ้น
*********
เกาหลีใต้ห้ามจำกัด "อายุ" ในการรับสมัครงาน
เอเอฟพี - เกาหลีใต้ หนึ่งในสังคมที่มีผู้สูงอายุเร็วมากที่สุดของโลกกำลังใช้กฎหมายใหม่ ซึ่งสั่งห้ามการเลือกปฏิบัติเรื่องอายุในกลุ่มคนที่กำลังหางานทำ หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเผยวันนี้ (17) แถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกาหลีใต้ เผยว่า ภายใต้กฎหมายนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัทที่ถูกพบว่ามีความผิดในการใช้นโยบายด้านนอายุจะถูกปรับเงินมูลค่า 30 ล้านวอน หรือราว 756,000 บาท "ที่ทำงานซึ่งกีดกันผู้สมัครงานโดยใช้เรื่องอายุเป็นฐาน จะถูกปรับโดยกระทรวงแรงงาน" แถลงการณ์ระบุ และเพิ่มเติมว่า โฆษณารับสมัครงานใดๆ ที่กำหนดอายุของผู้สมัคร หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับอายุระหว่างการสัมภาษณ์งานจะละเมิดข้อบังคับใหม่นี้ เกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุด
และกำลังกลายเป็นสังคมของผู้สูงวัย สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่า ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี มีจำนวนถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ซึ่งมี 7 เปอร์เซ็นต์ กฎหมายการจ้างงานฉบับเก่ามีการสั่งห้ามการเลือกปฎิบัติในเรื่องอายุด้วย แต่ไม่ได้การระบุโทษไว้ ในปี 2006 กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้คอเรียนแอร์ และ เอเชียนา ยกเลิกนโยบายจ้างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งได้รับการตอบสนองในเวลาต่อมา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)